การเคลมประกันรถยนต์ มีกี่แบบ..แล้วแต่ระแบบแตกต่างกันอย่างไร ?

การเคลมประกันรถยนต์ มีกี่แบบ..แล้วแต่ระแบบแตกต่างกันอย่างไร ?

สำหรับการเคลมประกันภัยรถยนต์ให้ง่ายและรวดเร็วนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ทำประกันทั้งหลายอยาก เพราะส่วนใหญ่จะต้องเจอกับกรณีตั้งแต่พนักงานมาถึงที่เกิดเหตุช้า, ตกลงกับคู่กรณีไม่ได้, ตกลงกับประกันฝ่ายคู่กรณีไม่ได้, ประกันภัยไม่ยอมจ่าย, ทั้งขั้นตอนที่ยุ่งยากอีกมากมาย งั้นเรามาดูกันดีกว่าคะว่า..การเคลมประกันรถยนต์นั้นแบบไหนที่ช่วยให้ง่าย และรวดเร็ว

แต่ก่อนที่เราจะไปอ่านกัน ก่อนอื่นเพื่อนๆ ก็ทราบก่อนนะคะว่า.. ลักษณะการการเคลมประกันนั้น แบ่งออกได้ 3 แบบ คือ…เครมสด, เครมแห้ง, และเครมประกันความเสียหายมากค่ะ และพร้อมแล้วก็ไปเริ่มอ่านกันเลยค่ะ

1. เคลมประกัน [แบบสด]

·       เคลมสด คือ การเคลมในกรณีที่รถชนกัน ณ ที่เกิดเหตุ และมีผู้เสียหายในเหตุการณ์ที่ยังรอพนักงานเคลมอยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งการเคลมประกันประเภทนี้ ผู้ขับขี่จะได้รับใบหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้การติดต่อเรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้นำรถไปเข้ารับซ่อมต่อไปค่ะ

2. เคลมประกัน [แบบแห้ง]

·       เคลมแห้ง คือ การเคลมประกันรถยนต์ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุมานานแล้ว แต่เพิ่งมาแจ้งเหตุกับบริษัทประกันภัยนั่นเองค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถรถยนต์มีรอยขูดขีดอันเนื่องมาจากการเฉี่ยวชน ซึ่งโดยปกติแล้วการเคลมแห้งมักจะเป็นการเคลมโดยไม่มีคู่กรณี ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เอาประกัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะบางครั้งอาจจะเกิดจากความประมาทของตัวผู้ขับขี่เอง บางครั้งก็อาจจะเป็นเพราะคนอื่นขับมาชนบ้าง รวมถึงสาเหตุอื่นๆอีกมากมายค่ะ ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีคู่กรณี คุณก็ควรรีบโทรแจ้งไปยังบริษัทประกันภัย ทันที พร้อมทั้งขอข้อมูลของพนักงานที่จะมาเคลมให้ด้วย เช่น ชื่อ – นามสกุล และเบอร์ติดต่อ เพื่อที่คุณจะได้ตามงานได้สะดวก แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการจะนำรถเข้าซ่อมที่อู่ คุณก็ควรเตรียมเอกสารต่างๆ ไปให้ครบถ้วนด้วยค่ะ เช่น ใบขับขี่ กรมธรรม์และสำเนาทะเบียนรถ เป็นต้นค่ะ

3. เคลมประกัน [ความเสียหายมาก]

·       เคลมประกันความเสียหายมาก คือ การเคลมประกันทั้งแบบเพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ หรือเกิดขึ้นนานแล้ว ซึ่งมีเสียหายหนักมากแต่เพิ่งจะมาแจ้งเหตุ เช่น รถเกิดประสบอุบัติเหตุเสียหายจนขึ้นไม่สามารถขับได้เป็นอาทิตย์ แต่เพิ่งมาแจ้งเหตุ แบบนี้เป็นต้นค่ะ

ทั้งนี้ ในระหว่างการเคลมประกันนั้น พนักงานเคลมจะสอบถามข้อมูลต่างๆ จากทั้งผู้เอาประกันภัยและคู่กรณี พร้อมทั้งให้คุณสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าไปไงมาไงใครถูกใครผิด เป็นต้นค่ะ ซึ่งตรงนี้ ทั้งตัวผู้เอาประกันและคู่กรณีก็ควรที่จะให้ความร่วมมือกับพนักงานด้วยนะคะ 

ต่อจากนั้น พนักงานก็จะถ่ายรูปตัวรถ สถานที่เกิดเหตุ เป็นต้นค่ะ จากนั้น เมื่อพนักงานทำการเคลมเสร็จแล้ว พนักงานเคลมก็จะสรุปผลทั้งหมด และให้ข้อมูลกับคุณว่าจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรบ้าง เช่น ต้องนำรถไปซ่อมที่ไหน พร้อมทั้งสรุปค่าใช้จ่ายที่อาจจะมีเพิ่มเติม และพนักงานเคลมก็จะออกใบเคลมให้ เพื่อใช้ในการยื่นกับทางอู่หรือศูนย์บริการที่รับซ่อม

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เกิดเหตุและคุณเป็นฝ่ายถูก แต่รถของคู่กรณีไม่มีประกันภัย คุณก็ควรตรวจสอบข้อมูลกับบริษัทประกันภัยด้วยว่า พนักงานได้ลงบันทึกข้อมูลอุบัติเหตุไว้ว่าอย่างไร คุณเป็นฝ่ายถูกหรือไม่ !! เพราะว่าหลังจากที่คุณเคลมประกันแล้ว ถ้าไม่มีการระบุไว้คุณอาจจะต้องเสียค่าประกันเพิ่มขึ้นในปีถัดไปได้ค่ะ

เนื่องจากในทุกวันนี้ การใช้รถใช้ถนนมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา เพื่อนๆและผู้ใช้รถทุกคนก็ไม่ควรประมาทอย่างเด็ดขาดเลยนะคะ และนอกจากไม่ประมาทในการขับขี่แล้ว การทำประกันภัยรถยนต์นั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

My Instagram

Copyright © InsureFriend.net.